บทที่ 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ
อะตอม คือหน่วยที่เล็กที่สุดของสสารที่ยังคงสภาพความเป็นสสารอยู่ได้แบบจำลองอะตอม ตามทฤษฏี มีอยู่ 5 แบบ คือ
1. แบบจำลองอะตอมของดอลตัน
สสารทุกชนิดประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุดเรียกว่า อะตอม ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกต่อไปได้อีก
2. แบบจำลองอะตอมของทอมสัน – ค้นพบอิเล็กตรอน ที่ มีประจุไฟฟ้าลบ มีมวลประมาณ1/2000 ของมวลของ H
– โดยศึกษาพฤติกรรมของ หลอดรังสีแคโทด ในสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
3. แบบจำลองของรัทเทอร์ฟอร์ด
การกระเจิง (scattering) ของอนุภาค a โดยแผ่นทองคำบางๆ
รัทเทอร์ฟอร์ดพบว่ารังสีส่วนใหญ่ไม่เบี่ยงเบน และส่วนน้อยที่เบี่ยงเบนนั้น ทำมุมเบี่ยงเบนใหญ่มาก บางส่วนยังเบี่ยงเบนกลับทิศทางเดิมด้วย จำนวนรังสีที่เบี่ยงเบนจะมากขึ้นถ้าความหนาแน่นของแผ่นโลหะเพิ่มขึ้น
อนุภาคมูลฐาน
อนุภาค
|
ประจุ(หน่วย)
|
ประจุ(C)
|
มวล(g)
|
มวล(amu)
|
อิเล็กตรอน
|
-1
|
1.6 x 10-19
|
0.000549
|
9.1096 x 10-28
|
โปรตรอน
|
+1
|
1.6 x 10-19
|
1.007277
|
1.6726 x 10-24
|
นิวตรอน
|
0
|
0
|
1.008665
|
1.6749 x 10-24
|
การเขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์
AZX : เลขมวล คือผลบวกของโปรตอน และนิวตรอนในนิวเคลียส
เลขอะตอม คือ จำนวนโปรตอนในนิวเคลียส ซึ่ง =จำนวนอิเล็กตรอนในอะตอม
ตัวอย่าง การเขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์
ดังนั้น อะตอมของธาตุLithium ( Li )
มีจำนวนโปรตอน = 3 ตัว
อิเล็กตรอน = 3 ตัว
และนิวตรอน = 4 ตัว
มีจำนวนโปรตอน = 3 ตัว
อิเล็กตรอน = 3 ตัว
และนิวตรอน = 4 ตัว
คำศัพท์ที่ควรทราบ
1. ไอโซโทป ( Isotope )
หมายถึง อะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน มีเลขอะตอมเท่ากัน แต่มีเลขมวลต่างกัน
2. ไอโซบาร์ ( Isobar )
หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันที่มีเลขมวลเท่ากัน แต่มีเลขอะตอมไม่เท่ากัน
3. ไอโซโทน ( Isotone )
หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันแต่มีจำนวนนิวตรอนเท่ากัน
4. แบบจำลองอะตอมของนีลส์โบร์
นักวิทยาศาสตร์จึงมีการศึกษาข้อมูลใหม่มาสร้างแบบจำลองที่เน้นรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่อยู่รอบนิวเคลียส โดยศึกษาจากสเปกตรัมและค่าพลังงานไอออไนเซชัน
สเปกตรัม
สเปกตรัมเป็นแสงที่ถูกแยกกระจายออกเป็นแถบสีต่าง ๆ และแสงเป็นรูปหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
แถบสีต่างๆในแถบสเปคตรัมของแสง
สเปกตรัม
|
ความยาวคลื่น (nm)
|
ม่วง
น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง |
400 – 420
420 – 490 490 – 580 580 – 590 590 – 650 650 – 700 |
สเปกตรัมของธาตุ
แมกซ์ พลังค์ได้เสนอทฤษฎีควอนตัม (quantum theory) และอธิบายเกี่ยวกับการเปล่งรังสีว่า รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่เปล่งออกมามีลักษณะเป็นกลุ่มๆ ซึ่งประกอบด้วยหน่วยเล็กๆ เรียกว่า ควอนตัม (quantum) ขนาดของควอนตัมขึ้นกับความถี่ของรังสี และแต่ละควอนตัมมีพลังงาน (E) โดยที่ E เป็นปฏิภาคโดยตรงกับความถี่ (u) ดังนี้
E=hν
E = พลังงาน 1 ควอนตัมแสง(J)
h = ค่าคงที่ของพลังค์ (6.62×10-34 Js)
ν= ค่าความถี่ ( s-1)
5.แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
แบบจำลองอะตอมของโบร์ ใช้อธิบายเกี่ยวกับเส้นสเปกตรัมของธาตุไฮโดรเจนได้ดีแต่ ไม่สามารถอธิบายเส้นสเปกตรัมของอะตอมที่มีหลายอิเล็กตรอนได้จึงได้มีการศึกษาเพิ่มเติมจนได้แบบจำลองใหม่ที่เรียกว่าแบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
ตารางธาตุ
วิวัฒนาการการสร้างตารางธาตุ
| ||
โยฮันดน์ เดอเบอไรเนอร์ จัดธาตุเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 ธาตุ เรียกว่า ชุดสาม และพบว่าธาตุกลาง
จะมีมวลอะตอมเป็นค่าเฉลี่ยของมวลอะตอมของธาตุแรกและธาตุหลังโดยประมาณ เช่น Li มีมวล 6.9 Na มีมวล 23.0 K มีมวล 39.1 มวลอะตอม Na = = 23 มีบางกลุ่มที่มวลอะตอมของธาตุตรงกลางไม่เท่ากับค่าเฉลี่ยของธาตุสองธาตุที่เหลือ หลักชุดสามของเดอเบอร์ไรเนอร์จึงไม่เป็นที่ยอมรับ จอห์น นิวแลนด์ส ได้เสนอกฎว่า ถ้านำธาตุมาเรียงลำดับตามมวลอะตอมจะพบว่าธาตุที่ 8 มีสมบัติคล้ายกับธาตุที่ 1 โดยเริ่มจากธาตุใดก็ได้
|
เมนเดเลเอฟและไมเออร์
ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกันว่าถ้าเรียงธาตุตามลำดับมวลอะตอมจากน้อยไปหามาก จะพบว่าธาตุมีสมบัติคล้ายคลึงกันเป็นช่วง ๆ การที่ธาตุต่าง ๆ มีสมบัติคล้ายคลึงกันเป็นช่วงเช่นนี้ เมนเดเลเอฟ ตั้งเป็นกฎเรียนว่า “กฎพีริออดิก” และได้เผยแพร่ความคิดนี้ในปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) ก่อนที่ไมเออร์จะพิมพ์ผลงานของเขาออกมาหนึ่งปี เพื่อให้เกียรติแก่เมนเดเลเอฟ จึงเรียกว่า ตารางพีริออดิกของเมนเดเลเอฟ
เมนเดเลเอฟได้จัดธาตุที่มีสมบัติคล้ายคลึงกันที่ปรากฏซ้ำกันเป็นช่วง ๆ ให้อยู่ในแนวดิ่ง หรือในหมู่เดียวกันและพยายามเรียงลำดับมวลอะตอมของธาตุจาก
น้อยไปหามาก ถ้าเรียงตามมวลอะตอมแล้วสมบัติไม่สอดคล้องกัน ก็พยายามจัดให้เข้าหมู่โดยเว้นช่องว่างไว้ ซึ่งเขาคิดว่าช่องว่างเหล่านั้นน่าจะเป็นตำแหน่ง ของธาตุที่ยังไม่มีการค้นพบ และยังได้ใช้สมบัติของธาตุและสารประกอบอื่น ๆ นอกเหนือจากคลอไรด์และออกไซด์มาประกอบการพิจารณาด้วย โดยที่ตำแหน่งของธาตุในตารางธาตุมีความสัมพันธ์กับสมบัติของธาตุ เมนเดเลเอฟจึง สามารถทำนายสมบัติของธาตุในช่องว่างใต้ซิลิคอนได้อย่างใกล้เคียงดังตาราง 1.6 โดยเขาให้ชื่อธาตุนี้ว่า
ธาตุเอคาซิลิคอน 15 ปีต่อมาวิงค์เลอร์จึงค้นพบธาตุนี้ ในปี พ.ศ. 2429 (ค.ศ. 1886) ซึ่งก็คือ ธาตุเจอร์เมเนียม
| ||
ตารางธาตุในปัจจุบัน
ตารางธาตุในปัจจุบันเรียงตามลำดับ เลขอะตอมจากน้อยไปหามาก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ ๆ ดังรูป
ตารางธาตุในปัจจุบันเรียงตามลำดับ เลขอะตอมจากน้อยไปหามาก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ ๆ ดังรูป
1. ธาตุในแต่ละหมู่และแต่ละคาบมีจำนวนไม่เท่ากัน หมู่ A เรียกว่า ธาตุเรพรีเซนเตตีฟ หมู่ B เรียกว่า ธาตุแทรนซิชัน เป็นธาตุที่อยู่ระหว่างหมู่ IIA และ IIIA 2. ธาตุทางซ้ายมือ ของเส้นหนักเป็นขั้นบันได มีสมบัติเป็นโลหะและธาตุทางขวาของเส้นจะเป็นอโลหะ ส่วนธาตุที่อยู่ชิดเส้นแบ่งนี้จะเป็นธาตุกึ่งโลหะ คือ B , Si , Ge , As , Sb และ Te
2. ธาตุหมู่ A เลขประจำหมู่บ่งบอกถึงจำนวนเวเลนต์อิเล็กตรอน เช่น หมู่ IA มีเวเลนต์อิเล็กตรอนท่ากับ 1 คือธาตุ Li Na K Rb Cs Fr เป็นต้น
3. ธาตุในคาบเดียวกันจะมีจนวนระดับพลังงานเท่ากัน เช่น ธาตุคาบที่ 1 มีจำนวนระดับพลังงาน 1 ระดับได้แก่ ธาตุ H He เป็นต้น
ประโยชน์ของการจัดอิเล็กตรอนในระดับพลังงานย่อย1. จำนวนระดับพลังงานสูงสุดจะบอกถึงคาบ
2. ระดับพลังงานย่อยสุดท้ายของการจัดอิเล็กตรอน หรือออร์บิทัลที่มีพลังงานสูงที่สุดจะบอกถึงเขต (เขต s, p, d, f) ถ้าเป็นเขต s, p จะอยู่ในหมู่ A ของตารางธาตุ ถ้าเป็นเขต d, f จะอยู่ในหมู่ B ของตารางธาตุ3. ถ้าเป็นธาตุในหมู่ A เวเลนซ์อิเล็กตรอนจะบอกถึงหมู่ (เวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ s+p)
4. ถ้าเป็นธาตุในหมู่ B นำจำนวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงานย่อยสุดท้ายบวกกับจำนวน อิเล็กตรอนในระดับพลังงานที่ถัดเข้ามา 1 ชั้น (s+d) จะเป็นตัวเลขของหมู่นั้น แต่ถ้าบวกกัน ได้ 8 – 10 จะเป็นหมู่ VIII B ถ้าบวกกันได้ 11, 12 จะเป็นหมู่ I B และ II B ตามลำดับ
2. ระดับพลังงานย่อยสุดท้ายของการจัดอิเล็กตรอน หรือออร์บิทัลที่มีพลังงานสูงที่สุดจะบอกถึงเขต (เขต s, p, d, f) ถ้าเป็นเขต s, p จะอยู่ในหมู่ A ของตารางธาตุ ถ้าเป็นเขต d, f จะอยู่ในหมู่ B ของตารางธาตุ3. ถ้าเป็นธาตุในหมู่ A เวเลนซ์อิเล็กตรอนจะบอกถึงหมู่ (เวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ s+p)
4. ถ้าเป็นธาตุในหมู่ B นำจำนวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงานย่อยสุดท้ายบวกกับจำนวน อิเล็กตรอนในระดับพลังงานที่ถัดเข้ามา 1 ชั้น (s+d) จะเป็นตัวเลขของหมู่นั้น แต่ถ้าบวกกัน ได้ 8 – 10 จะเป็นหมู่ VIII B ถ้าบวกกันได้ 11, 12 จะเป็นหมู่ I B และ II B ตามลำดับ
การอ่านชื่อธาตุที่มีเลขอะตอมมากกว่า 105 โดยระบุเลขอะตอมเป็นภาษาละติน แล้วลงท้ายด้วย -ium
จำนวนนับในภาษาละตินมีดังนี้
0 = (nil) 1 = (un)
2 = (bi) 3 = (tri)
4 = (quad) 5 = (pent)
6 = (hex) 7 = (sept)
8 = (oct) 9 = (enn)
เช่น ธาตุที่ 105 อ่านว่า Unnilpentium สัญลักษณ์ธาตุ Unp
สมบัติตามตารางธาตุของหมู่และคาบ
สมบัติทางเคมีและทางกายภาพหลายประการของธาตุทั้งหลายในตารางธาตุซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับการ
จัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุต่าง ๆ นักเรียนคิดว่าธาตุในหมู่หรือคาบเดียวกันจะมีขนาดอะตอม จุดหลอมเหลวและจุดเดือด พลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโตรเนกาติวิตีและเลขออกซิเดชันเป็นอย่างไร
จัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุต่าง ๆ นักเรียนคิดว่าธาตุในหมู่หรือคาบเดียวกันจะมีขนาดอะตอม จุดหลอมเหลวและจุดเดือด พลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโตรเนกาติวิตีและเลขออกซิเดชันเป็นอย่างไร
ขนาดอะตอม
ขนาดของอะตอมหาขอบเขตจำกัดได้ยาก เนื่องจากอิเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียสตลอดเวลาด้วยความเร็วสูงและไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน ดังนั้นขนาดอะตอมที่แน่นอนวัดกันไม่ได้ ในทางปฏิบัติจึงหาขนาดอะตอมด้วยรัศมีอะตอม ซึ่งมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมคู่ที่สร้างพันธะต่อกันหรือที่อยู่ชิดกัน
การวัดรัศมีอะตอมสามารถวัดได้หลายวิธี คือ
1. ถ้าอะตอมโลหะอยู่ชิดกันและยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโลหะ ครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมภายในผลึกโลหะเป็นรัศมีอะตอม ที่เรียกว่า รัศมีโลหะ เช่น โซเดียมมีรัศมีอะตอมเท่ากับ 190 พิโกเมตร
2. ถ้าอะตอมสร้างพันธะโคเวเลนต์ ครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมทั้งสองที่สร้างพันธะกัน จะเป็นรัศมีอะตอม เรียกว่ารัศมีโคเวเลนต์ เช่น
รัศมีอะตอมของคลอรีน
ความยาวพันธะ = 198 พิโกเมตร รัศมีอะตอม = 99 พิโกเมตร |
ถ้าโมเลกุล 2 โมเลกุลยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงแวนเดอร์วาลส์ ครึ่งหนึ่งของระยะระหว่างนิวเคลียสของอะตอมทั้งสองของแต่ละโมเลกุล เป็นรัศมีอะตอมที่เรียกว่า รัศมีแวนเดอร์วาลส์ เช่น คลอรีนเป็นโมเลกุลที่เป็นอะตอมคู่ จะมีทั้งรัศมีโคเวเลนต์ 99 พิโกเมตร และ
รัศมีแวนเดอร์วาลส์ 155 พิโกเมตร
เหตุผล ขนาดอะตอมใหญ่ขึ้นจากบนลงล่าง เพราะธาตุในหมู่เดียวกัน เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้นเป็นผลให้จำนวนโปรตอนในนิวเคลียสและ
จำนวนระดับพลังงานที่มีอิเล็กตรอนอยู่เพิ่มขึ้นด้วย การที่เวเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ห่างนิวเคลียสมากขึ้น เป็นผลให้ธาตุในหมู่เดียวกันมี
ขนาดอะตอมใหญ่ขึ้นตามเลขอะตอม แสดงว่าการเพิ่มจำนวนระดับพลังงานมีผลมากกว่า การเพิ่มจำนวนโปรตอนในนิวเคลียส
แนวโน้มขนาดอะตอมในคาบเดียวกันจากซ้ายไปขวา ดังรูป
เหตุผล ขนาดอะตอมของธาตุที่อยู่ในคาบเดียวกันจากซ้ายไปขวา เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น
(เลขอะตอมแสดงถึงจำนวนโปรตอนที่นิวเคลียส) เพราะธาตุในคาบเดียวกัน
มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงานเดียวกัน แต่มีจำนวนโปรตอนในนิวเคลียส
แตกต่างกัน ธาตุที่มีโปรตอนมากจะดึงดูดเวเลนซ์อิเล็กตรอนได้แรงมากกว่าธาตุที่มีโปรตอนน้อย เวเลนซ์อิเล็กตรอนจึงเข้าใกล้นิวเคลียสได้มากกว่า ทำให้อะตอมมีขนาดเล็กลง
อิเล็กโทรเนกาติวีตี อิเล็กโทรเนกาติวิตี คือ ค่าความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนของอะตอมที่รวมกันเป็น สารประกอบ ธาตุที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีสูงจะดึงอิเล็กตรอนดีกว่าธาตุที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีต่ำกว่า พอลิง นักเคมีชาวอเมริกา เป็นคนแรกที่ได้กำหนดค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีของธาตุขึ้น แต่พอลิงไม่ได้คำนวณหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวีตีของก๊าซเฉื่อยไว้ เพราะก๊าซเฉื่อยทำปฏิกิริยาเกิดเป็นสารประกอบได้ยาก
เลขออกซิเดชัน
|
เลขออกซิเดชัน (Oxidation number) เลขออกซิเดชัน เป็นค่าประจุไฟฟ้า หรือประจุสมมุติของอะตอมหรือไอออนของธาตุ โดยคิดจากจำนวนอิเล็กตรอนที่ให้หรือรับตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น เมื่อธาตุต่าง ๆ รวมกันเป็นสารประกอบธาตุที่ให้อิเล็กตรอน จะมีเลขออกซิเดชันเป็นบวกและมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนที่ให้นั้น
ส่วนธาตุที่รับอิเล็กตรอน จะมีเลขออกซิเดชันเป็นลบ และมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนที่รับนั้น ตัวอย่างเช่น Zn เมื่อเกิดเป็นสารประกอบ จะให้อิเล็กตรอน 2 ตัว กลายเป็น Zn2+ ดังนั้นจึงมีเลขออกซิเดชัน +2
Na เป็น Na+ ให้อิเล็กตรอน 1 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = +1
Al เป็น Al3+ ให้อิเล็กตรอน 3 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = +3
Cl เป็น Cl- รับอิเล็กตรอน 1 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = -1
O เป็น O2- รับอิเล็กตรอน 2 ตัว จึงมีเลขออกซิเดชัน = -2
|
การพิจารณาการให้หรือรับอิเล็กตรอน จะใช้เกณฑ์จากค่าอิเล็กโทนเนกาติวิตี ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า จะเป็นฝ่ายรับอิเล็กตรอน ในขณะที่ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำกว่าจะเป็นฝ่ายให้อิเล็กตรอน
โดยทั่วๆ ไป เมื่อใช้ค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีเป็นเกณฑ์ ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำ
จะมีเลขออกซิเดชันเป็นบวก และธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า จะมีเลขออกซิเดชันเป็นลบ
โดยทั่วๆ ไป เมื่อใช้ค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีเป็นเกณฑ์ ธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำ
จะมีเลขออกซิเดชันเป็นบวก และธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า จะมีเลขออกซิเดชันเป็นลบ
วิธีคิดเลขออกซิเดชันในสารประกอบไอออนิก
เนื่องจากธาตุที่รวมกันเป็นสารประกอบไอออนิก มีการให้และรับอิเล็กตรอน อย่างชัดเจน จึงแสดงค่าประจุไฟฟ้าที่ชัดเจน ทำให้หาค่าของเลขออกซิเดชันได้ง่าย เช่น
Na ให้อิเล็กตรอน 1 อิเล็กตรอนแก่ Cl ทำให้เป็น Na+ และ Cl-
เพราะฉะนั้นเลขออกซิเดชันของ Na = +1 และ Cl = -1
วิธีคิดเลขออกซิเดชันในสารประกอบโคเวเลนต์
เนื่องจากธาตุที่มารวมกันเป็นสารประกอบโคเวเลนต์ มีแต่การใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน
โดยไม่มีการให้หรือรับอิเล็กตรอน การพิจารณาเลขออกซิเดชัน จึงต้องพิจารณาจากจำนวนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกัน โดยถือว่า อิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันทั้งหมด เป็นของธาตุที่มี
อิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า ซึ่งทำให้ธาตุดังกล่าวมีเลขออกซิเดชันเป็นลบ
พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
HCl มีการใช้อิเล็กตรอน 1 คู่ โดยที่ Cl มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า H ดังนั้น อิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันจึงเปรียบเสมือนกับเป็นของ Cl ทำให้ได้อิเล็กตรอนเกิน 1 อิเล็กตรอน เลขออกซิเดชันของ Cl จึงเป็น -1 ในขณะที่ของ H เป็น +1
มีการใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ โดยที่ O มีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า C จำนวนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันทั้งหมดจึงเป็นของ O เท่ากับว่า O ทางซ้าย ได้รับอิเล็กตรอนจาก C มา
2 อิเล็กตรอน ในทำนองเดียวกัน O ทางขวาก็รับอิเล็กตรอนจาก C 2 อิเล็กตรอน ดังนั้น O
แต่ละอะตอมจึงคล้ายกับได้รับ 2 อิเล็กตรอน จึงมีเลขออกซิเดชันเป็น -2 ในขณะที่ C
เสียอิเล็กตรอน จึงมีเลขออกซิเดชันเป็น +4
จากวิธีการหาเลขออกซิเดชันดังกล่าว จึงได้นำมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ดังนี้
เกณฑ์กำหนดค่าเลขออกซิเดชันของธาตุต่างๆ
1. ธาตุอิสระทุกชนิด มีเลขออกซิเดชัน = 0
ธาตุอิสระดังกล่าว ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอะตอม หรือโมเลกุล ไม่ว่าจะมีกี่อะตอม
ในโมเลกุล เช่น Na , H2 , S8 , P4 ต่างก็มีเลขออกซิเดชันเป็น 0
2. เลขออกซิเดชันของไอออน = ประจุของไอออน เช่น
Mg2+ มีเลขออกซิเดชัน = +2
Al3+ มีเลขออกซิเดชัน = +3
S2- มีเลขออกซิเดชัน = -2
3. เลขออกซิเดชันของธาตุบางชนิดในสารประกอบมีค่าเฉพาะตัวดังนี้
ก. เลขออกซิเดชันของโลหะแอลคาไล ได้แก่ โลหะหมู่ IA เช่น Li , Na, K, Rb , Cs
ในสารประกอบมีค่าเท่ากับ +1
ข. เลขออกซิเดชันของโลหะแอลคาไลน์เอิร์ท ได้แก่ โลหะหมู่ที่ IIA เช่น Mg , Ba , Ca
ในสารประกอบมีค่าเท่ากับ +2
ค. เลขออกซิเดชันของออกซิเจน (O) ในสารประกอบทั่วไปมีค่าเท่ากับ -2 ยกเว้น
- สารประกอบเปอร์ออกไซด์ เช่น H2O2 BaO2 Na2O2 O มีเลขออกซิเดชันเป็น -1
- สารประกอบซูเปอร์ออกไซด์ เช่น NaO2 KO2 O มีเลขออกซิเดชันเป็น -
ใน OF2 เป็น +2
ง. เลขออกซิเดชันของไฮโดรเจนในสารประกอบทั่วไปเป็น +1 ยกเว้น
ในสารประกอบไฮไดรด์ เช่น NaH, CaH2 , AlH2 , เป็น -1
4. ในไอออนที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่า 1 ชนิด “ผลรวมของเลขออกซิเดชัน
ของทุกๆ อะตอมเท่ากับประจุของไอออน” เช่น มีประจุ –2 หมายความว่า
นักเรียนนำเลขออกซิเดชันของ S 1 อะตอมบวกกับ O 4 อะตอมจะมีค่าเท่ากับ –2
ตัวอย่าง จงหาเลขออกซิเดชันของ
สมมติให้เลขออกซิเดชันของ Mn = X
เลขออกซิเดชันของ O = -2
4 อะตอมของ O มีเลขออกซิเดชันรวม = -8
ผลรวมของเลขออกซิเดชันของอะตอมทั้งหมดในไอออนเท่ากับประจุของไอออน ดังนี้
X + (-8) = -2
X = -2 + 8 = 6
เลขออกซิเดชันของ Mn = +6
5. ในสารประกอบใด ๆ ผลรวมของเลขออกซิเดชันของทุกอะตอมเท่ากับศูนย์ เช่น MgO
เลขออกซิเดชันของ Mg = +2 ของ O = -2 รวมกัน
ที่มา:game8milk12 และ sites.google
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น